วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

10 วิธีช่วยให้คุณทำข้อสอบได้ดีขึ้น



10 วิธีที่จะช่วยให้คุณทำข้อสอบได้ดีขึ้น
Don't cram
วิธีนี้ไม่ได้ผลหรอกการเร่งดูหนังสือในเวลาอันสั้นๆจะทำให้คุณเหนื่อยเปล่า คุณควรเตรียมตัวอ่านและทบทวนหลายๆสัปดาห์ก่อนที่จะสอบ
Practice
ถ้าหากคุณเรียนเฉพาะส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงคุณก็จะลืมมัน ได้อย่างรวดเร็ว คุณจำเป็นต้องมีการฝึกฝนเช่นในวิชาภาษาอังกฤษ คุณจะต้องเอาคำศัพท์ใหม่ที่เรียนมานั้นแต่งประโยคและพูดออกมาดังๆ สำหรับวิชาวิทยาศาสตร์คุณจำเป็นจะต้องทำหลาย ๆ แบบฝึกหัดเท่าที่คุณจะทำได้ การฝึกจะทำให้คุณเข้าใจข้อเท็จจริงดีขึ้น
Read with your eyes closed
อันดับแรกคุณก็อ่านจากสมุดจดและหนังสือเรียนด้วยความระมัดระวัง จากนั้นให้ปิดหนังสือและให้หากระดาษมาหนึ่งแผ่น และเขียนหัวข้อสำคัญๆที่อ่านมาแล้ว ซึ่งจะช่วยทำให้คุณเข้าใจว่าคุณจำเป็นจะอ่านทบทวนส่วนไหนเพิ่มเติม
Get the big picture
ทำเป็นโน๊ตย่อหัวข้อที่สำคัญๆโดยดึงเนื้อหาจากสมุดจดหรือจากหนังสือเรียน แบบฝึกหัดหรือสิ่งอื่น ๆ ที่ได้จากห้องเรียน เรียบเรียงลำดับเนื้อหาใหม่ซึ่งจะทำให้คุณเห็นความสัมพันธ์ของเนื้อหาและยัง ทำให้คุณจดจำเนื้อหาได้เป็นเวลานานอีกด้วย
Talk
ให้ถามรุ่นพี่ที่เรียนมาแล้วเกี่ยวกับคำถามหรือเกี่ยวกับ แนวข้อสอบเก่าๆว่าเป็นอย่างไรแล้วคุณจะได้เตรียมถูก หรือพร้อมมากยิ่งขึ้น
Get help
ยามใดที่คุณไม่เข้าใจอะไรสักอย่างขอให้ถามอาจารย์ซึ่งท่าน จะเป็นผู้ที่ช่วยเหลือคุณได้อย่างดีหรืออาจจะเป็นเพื่อน หรือใครก็ได้ที่เข้าใจวิชานั้นเป็นอย่างดีไม่ต้องรอกระทั่งจะถึงวันสอบพรุ่ง นี้แล้วค่อยถาม มันอาจจะเป็นว่าสายเกินไปแล้ว!!!
Triage Principle
ถ้าหากคุณเห็นว่าเวลาเรียนไม่พอแล้ว คุณควรจะทำอย่างไรดี ? ควรจะอ่านในส่วนที่คุณเข้าใจเพียงน้อยนิดหรือควรที่จะอ่านในส่วนที่คุณพอมี ความรู้บ้างคุณควรจะอ่านในส่วนที่คุณพอมีความรู้อยู่บ้างซึ่งจะทำให้คุณรู้ มากยิ่ง ๆ ขึ้น เป็นการดีที่รู้ในบางส่วนที่รู้อยู่แล้วให้รู้มาก ๆ ยิ่งขึ้นดีกว่าการรู้เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ
Focus on objectives
ให้กลับไปอ่านจุดประสงค์การเรียนอีกรอบ จากนั้นให้ทดสอบรายจุดประสงค์แบบ Pre-test ว่าคุณทำผ่านเกณฑ์ไหม ถ้าจุดประสงค์ไหนทำไม่ได้หรือได้คะแนนน้อย ให้กลับไปเรียนใหม่ตามจุดประสงค์ที่คุณยังไม่รู้เรื่องดีพอ
Manage time
คุณจะต้องดูหนังสืออย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงต่อวันในวิชาที่ยากๆอย่างเช่นวิชาเคมี คุณจะต้องจัดตารางเรียนขึ้นมา และจะต้องอ่านตามตารางที่จัดไว้ ให้จัดระบบการอ่านหนังสือกับเพื่อนและจะต้องอ่านตามตารางที่จัดไว้ ซึ่งวิธีนี้จะเป็นบังคับคุณไปในตัวไม่ให้ขี้เกียจ
Relax
พยายามพักผ่อนหรือทำตัวสบายๆอย่าดูหนังสือกับเพื่อนที่ทนงตน หลงตัวเองคิดว่าตัวเองเก่งแล้วไม่ต้องอ่านก็สอบได้ เด็ดขาด คืนก่อนสอบให้เตรียมหนังสือ ปากกาและจัดกระเป๋าให้เรียบร้อยและเขัานอนแต่หัวคํ่า ถ้าหากคุณยังดูหนังสือดึกจะทำให้คุณเหนื่อยและยิ่งทำให้คุณเครียดมากขึ้น เมื่อเข้าสอบจะยิ่งทำให้คุณเบลอไปเลยแหละ!!(นะจะบอกให้)

ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

10 วิธีในการคิดต่างตามแบบแอปเปิ้ล


จากความสำเร็จของบริษัทแอปเปิล ทำให้หลายฝ่ายสงสัยและต้องการทราบว่า เบื้องหลังความสำเร็จและแนวคิดในแบบแอปเปิลนั้นเป็นอย่างไร
วันนี้เรามี 10 วิธีในการคิดต่างตามแบบแอปเปิล ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ ที่ทำให้แอปเปิลพัฒนามาจนถึงวันนี้
เป็นที่รู้กันว่า พนักงานของบริษัทแอปเปิลตั้งแต่เริ่มทำงานมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาถูกปลูกฝังด้วยคำว่า Think Different หรือคิดต่าง ซึ่งแม้ว่าคำๆนี้จะมีลักษณะที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม และปฏิบัติตามได้ยาก แต่ดูเหมือนว่าพนักงานของแอปเปิลทุกคนจะเรียนรู้ และปฏิบัติตามได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งที่ผ่านมา ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า การคิดต่างในแบบแอปเปิลนั้น ได้ทำให้บริษัทก้าวมาไกลเพียงใด
สตีฟ โทบัก ที่ปรึกษา นักเขียน และผู้บริหารระดับอาวุโสของบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังของสหรัฐฯ ที่คร่ำหวอดในวงการมานานกว่า 20 ปี ได้ทำการศึกษาบุคคลที่ร่วมงานกับแอปเปิล ที่เขาเปรียบเทียบว่า วัฒนธรรมแบบแอปเปิลเหมือนการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของบริษัทในสหรัฐฯ เพราะแอปเปิลได้ฉีกทุกกฎที่ทุกคนเคยทำไว้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งโทบักได้ข้อสรุปออกมาเป็น 10 วิธีที่คิดต่างในแบบแอปเปิล ที่ทำให้บริษัทนี้ โดดเด่นกว่าบริษัทอื่นๆ และพลิกฟื้นจากบริษัทที่ใกล้ล้มละลาย มาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงเป็นอันดับสองของโลก ดังนี้
1. เสริมสร้างให้พนักงานคิดต่าง พนักงานคนหนึ่งของแอปเปิลกล่าวว่า สตีฟ จ็อบส์มักจะพูดเสมอว่าเราต้องทำสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น และเขาเชื่อว่าพวกเราทำได้
2. สิ่งที่สำคัญคือการให้คุณค่า อย่าใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย พนักงานของแอปเปิลทุกคนเห็นว่าออฟฟิศเป็นสถานที่ที่สนุกที่จะทำงาน ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่กันอย่างไร้กฎระเบียบ ใครจะทำอะไรก็ได้ แต่ว่างานต้องเสร็จเรียบร้อย ซึ่งโทบักเคยเข้าประชุมร่วมกับผู้บริหารของแอปเปิล ที่มาร่วมประชุมด้วยเท้าเปล่า ที่น่าแปลกก็คือไม่มีใครสังเกตเห็นซะด้วยซ้ำ
3. รักและใส่ใจกับผู้ริเริ่มสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ
4. ทำทุกสิ่งที่สำคัญ และทำจากใจ โทบักตั้งข้อสังเกตว่า การบริหารงานของแอปเปิลนั้นจะไม่มีการแยกฝ่ายกันอย่างชัดเจน ทุกอย่างต้องทำภายใต้การรับผิดชอบร่วมกัน
5. ดูแลการตลาดอย่างใกล้ชิด จ็อบส์ให้ความสำคัญกับการทำการตลาดเป็นอย่างมาก โดยแอปเปิลจะไม่มีการจ้างบริษัทอื่นเพื่อมาทำการวิจัยทางการตลาด แต่พวกเขามีทีมเป็นของตัวเองในการรับผิดชอบเรื่องนี้
6. ควบคุมสาส์นที่จะสื่อออกไปถึงผู้บริโภค ซึ่งแอปเปิลจะมีวิธีการในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และการประชาสัมพันธ์บริษัทที่แตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด
7. สิ่งเล็กๆน้อยๆก็อาจสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้ พนักงานของแอปเปิลรู้ซึ้งถึงแนวคิดนี้เป็นอย่างดี ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ระหว่างการเปิดตัวไอโฟน 4 ซึ่งเป็นช่วงที่พนักงานทุกคนทำงานอย่างหนัก ผู้บริหารก็สั่งอาหารอย่างดีมาให้ บางสาขาถึงกับลงทุนจ้างพนักงานนวดมาเพื่อนวดคลายเส้นให้แก่พนักงานของแอปเปิลโดยเฉพาะ
8. อย่าปล่อยให้คนทำงานแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องปล่อยให้พวกเขาทำงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จ็อบส์เคยกล่าวเอาไว้ว่า หน้าที่หลักของเขาคือทำยังไงให้พนักงานทำงานดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคำตอบก็คือ เขาจะต้องคอยผลักดันให้พนักงานทุกคนก้าวหน้า
9. เมื่อคุณค้นพบว่าสิ่งนั้นทำแล้วได้ผล จงทำต่อไปเรื่อยๆ แอปเปิลเป็นบริษัทที่ทำในสิ่งที่ตนเองถนัด และพัฒนาจนสิ่งนั้นๆล้ำหน้ากว่าคนอื่น
10. การคิดต่าง จ็อบส์เคยกล่าวไว้ในงานวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดว่า อย่าปล่อยให้เสียงหรือความคิดของคนอื่น ดังกว่าเสียงหรือความคิดของตัวคุณเอง ดังนั้น ไม่ว่าสิ่งที่คุณคิดจะแตกต่างจากคนอื่นแค่ไหน จงเชื่อมั่นและทำต่อไป

ขอบขอบคุณจาก : VoiceTV และ unigang

เด็กไทยเรียนหนักแค่ไหน?


เด็กไทยเรียนหนักแค่ไหน? (ตอบ: หนักที่สุดในโลก*)
หากพิจารณาข้อมูลของ UNESCO[1] แสดงจำนวนชั่วโมงเรียนต่อปีของนักเรียนในระดับอายุ 9 – 13 ปีในแต่ละประเทศ จะพบว่า
เด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับ 2 ในระดับอายุ 9 ปี1,080 ชั่วโมงต่อปี
เด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับ 1 ในระดับอายุ 10 ปี1,200 ชั่วโมงต่อปี
เด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับ 1 ในระดับอายุ 11 ปี1,200 ชั่วโมงต่อปี
เด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับ 5 ในระดับอายุ 12 ปี1,167 ชั่วโมงต่อปี
เด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับ 8 ในระดับอายุ 13 ปี1,167 ชั่วโมงต่อปี
ตัวเลขของประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจมีดังนี้ (เด็กอายุ 11 ปี)
อันดับ 2 อินโดนีเซีย1,176 ชั่วโมงต่อปี
อันดับ 3 ฟิลิปปินส์1,067 ชั่วโมงต่อปี
อันดับ 4 อินเดีย1,051 ชั่วโมงต่อปี
อันดับ 11 มาเลเซีย964 ชั่วโมงต่อปี
อันดับ 19 เยอรมนี862 ชั่วโมงต่อปี
อันดับ 28 จีน771 ชั่วโมงต่อปี
อันดับ 30 ญี่ปุ่น761 ชั่วโมงต่อปี
ตัวเลขเหล่านี้นับเฉพาะ “เวลาเรียนในโรงเรียน” เท่านั้น ยังไม่รวมเวลาเรียนพิเศษนอกเวลา
เป็นที่น่าสังเกตว่าเวลาที่ใช้ในการศึกษาภาคบังคับของเด็กไทยไม่ได้เปลี่ยนไปมากจากชั้นประถมไปสู่มัธยม ในขณะที่บางประเทศให้เวลากับชั้นมัธยมมากยิ่งขึ้น (ดังจะเห็นได้จากอันดับของไทยที่ลดลง) และยังน่าสังเกตด้วยว่าเยาวชนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วล้วนมีชั่วโมงเรียนที่น้อยกว่าเยาวชนไทย หรือแม้กระทั่งเยาวชนในกลุ่มประเทศที่ “เชื่อกันว่า” เรียนหนักกว่าเราเช่น จีน หรือ ญี่ปุ่น ก็ล้วนมีชั่วโมงเรียนน้อยกว่าเราเช่นกัน
แอดมินเชื่อว่า “ผู้ใหญ่” ในวันนี้ซึ่งล้วนเคยเป็นเด็กนักเรียนมาก่อน น่าจะทราบดีว่าคุณภาพของการศึกษาไม่ได้ขึ้นกับจำนวนชั่วโมงเรียนเพียงอย่างเดียว คำถามก็คือเวลาเราพูดเรื่องการจัดการศึกษา หรือคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยนั้น เราได้ดูหรือไม่ว่าเด็กไทยเรียนมากหรือน้อยเพียงใด และแค่ไหนถึงควรจะเป็นปริมาณที่เหมาะสม?

Credit   http://www.whereisthailand.info/2012/01/pupils-class-hours/  [

อ้างอิง  1] http://www.nationmaster.com/graph/edu_hou_of_ins_for_pup_age_11-hours-instruction-pupils-aged-11

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

SpareOne มือถือใช้ถ่าน AA แค่ 1 ก้อนสแตนด์บายได้นานถึง 15 ปี



สื่อ นอกวุ่น XPAL Power เตรียมเข็นโทรศัพท์มือถือประหยัดพลังงาน ใช้เพียงแบตเตอรี่ AA 1 ก้อน สามารถสแตนด์บายได้นานถึง 15 ปี เปิดตัวครั้งแรกที่ลาสเวกัสในงาน CES 2012 สัปดาห์นี้
เดลี่เมลล์ รายงานข่าวว่า XPAL Power ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายแบตเตอรี่เสริมสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด เตรียมแหวกกระแสสมาร์ทโฟนในปัจจุบันที่ใช้งานได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ต่อการชาร์จพลังงาน 1 ครั้ง โดยการพัฒนา “SpareOne” โทรศัพท์มือถือประหยัดพลังงานเครื่องแรกของโลกที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ AAเพียง 1 ก้อนแล้วสแตนด์บายทิ้งไว้นานถึง 15 ปี โดยได้แนวคิดจากการที่ผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือทุกคนจะต้องคอยกังวล ว่า วันนี้ได้ชาร์จพลังงานหรือยัง หรือพลังงานที่เหลืออยู่จะพอหรือไม่ ซึ่งหากซื้อเจ้า SpareOne มาใช้งานจะทำให้ปัญหาในข้อนี้หมดไป

ตัว แทนของ XPAL Power กล่าวว่า โทรศัพท์มือถือ SpareOne เหมาะที่จะพกทิ้งไว้ในรถเผื่อกรณีฉุกเฉิน หรือสำหรับติดกระเป๋าไว้เดินทางไปยังสถานที่ไกลๆ โดย SpareOne จะมีฟังก์ชั่นในการเข้าถึงหมายเลขฉุกเฉิน, หมายเลขสำคัญได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการค้นหาบริการฉุกเฉินในบริเวณสถานที่ที่อยู่ใกล้กับผู้ใช้งานผ่าน หมายเลขโทรศัพท์ สามารถใช้สนทนาได้นาน 10 ชม.
 ทั้งนี้ โทรศัพท์มือถือ SpareOne จะเปิดตัวเป็นครั้งแรกในงาน CES 2012 วันที่ 10-13 ม.ค.ที่ลาสเวกัสสัปดาห์นี้ โดยหลักจะมาพร้อมไฟฉายในตัว ฟังก์ชั่นเบอร์โทร.ฉุกเฉิน และบริการค้นหาสถานที่จากเสาสัญญาณโทรศัพท์ อีกทั้งยังแถมแบตเตอรี่ขนาด AA มาให้ด้วย 1 ก้อน โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 1,600 บาทเท่านั้น


ที่มา – Thairath unigang

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

คุณรู้หรือไม่ว่าผู้บริหารของ บริษัท Apple มีเงินเดือน ปีละเท่าไหร่ ?


หลังจาก Apple ได้ทำการปล่อยเอกสารเอกสารหนังสือมอบฉันทะให้กับนักลงทุนเพื่อสร้างความมั่นใจนั้น เลยทำให้เราได้เห็นรายได้ของผู้บริหารระดับสูงของ Apple หลายคนว่าได้เท่าไรกันบ้าง?
Tim Cook ซีอีโอคนใหม่ของ Apple นั้นได้เงินเดือนรวมกับโบนัสตลอดปีที่ผ่านมาสูงถึง 900,017 ดอลลาร์ หากคำนวนเป็นเงินไทยก็น่าจะประมาณ   27,000,510 บาท (โดยทางทีมงานทำการ *30) และมีเงินปั่นผลจากการหุ้นที่ถืออีกส่วนหนึ่ง
เป็นที่ทราบกันดีว่าอดีตผู้บริหารอย่าง Steve Jobs นั้นได้รับค่าเหนื่อยเพียงแค่ $1 ต่อปีเท่านั้น แต่ลุงเค้าฉลาดกว่าเพราะนั่งกินเงินปั่นผลจากผลประกอบการของ Apple ที่ถือหุ้นไว้  5.5 ล้านหุ้น  แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าจัดหนักกว่า

ที่มา : 9to5mac.com, cultofmac.com  และ sanook.com

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

ใหม่!!! Wi-Fi ไร้สายไกลถึง 100 กม.!!


          คุณผู้อ่านอาจจะคุ้นเคยกับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 802.11 a/b/g/n ซึ่งเป็นที่นิยมใช้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน โดยต้องยอมรับว่า 802.11 ใช้งานได้ดี และไม่ต้องคอยกังวลว่าจะมีมาตรฐานใหม่ออกมาแล้วทำให้เราท์เตอร์ของคุณใช้ไม่ได้ แต่แล้ว IEEE ก็ได้ประกาศมาตรฐานใหม่สำหับการเชื่อมต่อไร้สายที่เรียกว่า 802.22 ที่ออกแบบให้สามารถใช้ประโยชน์จากสเป็กตรัมสัญญาณของการบรอดแคสต์ใหม่ที่อยู่ระหว่าง 54MHz ไปจนถึง 698MHz (ความถี่ที่ใช้กับแพร่สัญญาณภาพแอนาล็อกทีวีในสหรัฐอยู่ที่ 700MHz)
          ด้วยเหตุที่ใช้ความถี่ในย่านใกล้เคียงกับทีวีแอนาล็อก ทำให้มาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายแบบใหม่สามารถส่งคลื่นออกไปได้ไกลกว่าเดิมหลายเท่าตัว โดย 802.22 Wi-Fi จะสามารถเชื่อมต่อด้วยความเร็วของข้อมูลสูงถึง 22 Mbps ในระยะ 62 ไมล์ (ประมาณ 100 กิโลเมตร) ด้วยเบสสเตชันตัวเดียว ซึ่งทำให้ง่ายต่อการให้บริการบรอดแบนด์ไร้สายในเมืองเล็กๆ โดยล่าสุดมาตรฐานดังกล่าวได้ผ่านการรับรองแล้ว นั่นหมายความว่า บริษัทต่างๆ ก็สามารถเริ่มผลิตเราท์เตอร์ที่ใช้เทคโนโลยี 802.22 นี้ได้แล้ว
ที่มา Arip

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

10 อันดับของเมาส์ ที่ราคาแพงที่สุด



เชื่อว่าคนที่เล่นคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่คงไม่มีใครไม่รู้จักเมาส์ ที่ใช้ในการควบคุมหน้าจอเดสทอป วันนี้มีเรื่องแปลกๆ มาฝากครับเป็นการรวม 10 อันดับของเมาส์ที่แพงที่สุดในโลก แน่นอนว่าราคาไม่ธรรมดาแน่ๆ แต่บางตัวนั้น แม้เราจะมีเงินถึงแต่ก็ไม่สามารถหาซื้อได้ เพราะเป็นรุ่น Limited Edition ที่ผลิตมาเพียงไม่กี่ชิ้น เอาเป็นว่าดูเพื่อความบันเทิงเริงใจ ก็แล้วกันครับ :)


1. Logitech Air 3D Laser Mouse in Gold Case (725,400 บาท)

เป็นเมาส์ยี่ห้อ Logitech ทำมาจากทองคำ !!

2. Gigabyte bling-bling GM-M7800S wireless mouse (555,300 บาท)

เมาส์ยี่ห้อ Gigabyte ครับเป็นไวเลสทำจากหนังแท้ แนวคลาสสิค


3. The Gold Bullion Wireless Mouse ( 1,105,050 บาท)

เป็นเมาส์ไวลเสครับ ทำมาจากทองคำ รูปทรงคล้ายๆ ทองแท่ง ราคาหลักล้านบาท เลยทีเดียว

4. USB mouse covered with white gold (801,900 บาท)

ตัวนี้เป็นเมาส์สาย USB ทำมาจากทองคำขาว ราคาแปดแสนกว่าบาท !!

5. Black Diamond Logitech mouse (955,200 บาท)

เมาส์ฝังเพชรจากยี่ห้อ Logitech ราคาเฉียดล้าน !!

6. MJ- Luxury VIP Mouse (1,034,400 บาท)

ชื่อก็บอกแล้วครับตัวนี้ว่าเป็น VIP Mouse ทำมาจากเพชรและทองคำ ราคาล้านกว่าบาท

7. Python Leather Mouse by MJ (535,200 บาท)

ทำมาจากหนังครับตัวนี้ ราคาเบาะๆ ครึ่งล้าน !!

8. Gold Metal Sun Mouse from MJ777 edition (591,600 บาท)

ตัวนี้เป็นรูปทรงพระอาทิตย์ ทำมาจากทองคำ สนนราคาเกือบ 6 แสนบาท

9. MJ Blue Sapphire Mouse (838,200 บาท)


10. Crocodile skin Gold Mouse Ferrari (517,740 บาท)

ทำมาจากหนังจรเข้แท้ครับตัวนี้ ครึ่งล้าน



Credit : postjung unigang

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

นาซ่าฟันธง 21 ธ.ค.2012 ไม่ใช่วันสิ้นโลก



จากกระแสเรื่องวันสิ้นโลก ตามปฏิทินของชาวมายัน ที่กล่าวกันว่าในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 จะเป็นวันครบรอบ 144,000 วันของวัฏจักรปฏิทินมายา ซึ่งได้วนซ้ำมาแล้ว 12 ครั้ง โดยในครั้งที่ 13 จะสิ้นสุดในวันดังกล่าว ซึ่งครบรอบ 5,200 ปีของตำนานสร้างโลก นอกจากนี้ ความเชื่อที่ว่าา ดาวนิบิรุ (Nibiru) หรือดาวเคราะห์เอกซ์ (Planet X) จะพุ่งชนโลก ตามคำกล่าวของ แนนซี ไลเดอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดาวนิบิรุ
ทั้ง นี้ ดอน ยีโอมานส์ ผู้จัดการโครงการวัตถุใกล้โลกจากห้องปฏิบัติการจรวดขับเคลื่อนความดัน ขององค์การนาซ่า ได้ออกมากล่าวถึงข้ออ้างดังกล่าวว่า เรื่องของดาวนิบิรุเป็นเรื่องงมงาย เพราะไม่เคยปรากฏหลักฐานว่ามันมีอยู่จริง
นอก จากนี้หากจะเกิดเหตุการณ์ดาวพุ่งชนโลกในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 จริง มนุษยชาติจะสามารถมองเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวได้ด้วยตาเปล่า ส่วนเรื่องที่ว่าดวงอาทิตย์จะตัดเข้าไปอยู่ด้านหน้าระนาบของกาแลกซีเรานั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำปีละ 2 ครั้งอยู่แล้ว ส่วนการตัดระนาบกาแลกซีจริงๆ ต้องใช้เวลาหลายล้านปี และหากเหตุการณ์เกิดขึ้นก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อโลก
ส่วนเรื่อง แรงโน้มถ่วงจากการเรียงตัวของดาวเคราะห์ที่จะส่งผลกระทบต่อโลกนั้น นายยีโอมานส์กล่าวว่า วัตถุที่มีผลกระทบต่อโลกในด้านแรงโน้มถ่วงนั้นมีเพียง “ดวงอาทิตย์” และ “ดวงจันทร์” เท่านั้น ซึ่งก็คือปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงนั่นเอง และตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 21 ธ.ค. 2012 จะไม่มีการเรียงตัวของดาวเคราะห์อย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องพายุ สุริยะที่ส่งอนุภาคมีประจุมายังโลกนั้นจะทำให้เกิดแสงออโรโร่า และส่งผลกระทบต่อดาวเทียมและสายส่งไฟฟ้าได้ นายยีโอมานส์กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าจะเกิดพายุสุริยะรุนแรงในวัน ที่ 21 ธ.ค. 2012 นี้
ที่มา unigang